Lotus ตัดสินใจใช้ชื่อ Eletre (อ่านว่า อี-เลท-ทร้า) มาจากภาษาฮังการี ซึ่งแปลว่า “การเกิดใหม่” แทน Type 132 เพื่อเรียก SUV คันแรกในประวัติศาสตร์ของแบรนด์

Eletre จะถูกผลิตขึ้นในโรงงานของ Geely ที่เมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน แต่เกิดจากการวิจัยและพัฒนาที่ใช้ทีมประเทศอังกฤษเป็นหลัก พร้อมกับความร่วมมือกับทีมงานในประเทศจีน ประเทศสวีเดน และ ประเทศเยอรมนี แต่ถ้าเป็นส่วนงานออกแบบภายนอก-ภายใน จะใช้ทีมเฉพาะทางที่ตั้งอยู่ที่ Lotus Tech Creative Centre (LTCC) เมือง Warwick ประเทศอังกฤษ

Eletre สร้างขึ้นบนพื้นฐาน Electric Premium Architecture (EPA) ที่เน้นจุดศูนย์ถ่วงต่ำ เพื่อการควบคุมที่แม่นยำ และยังเป็น Modular Platform ที่สามารถขยายขนาดได้ ตั้งแต่ C+ ไปจนถึง E+ ทำให้รองรับการติดตั้งแบตเตอรี่ มอเตอร์และอุปกรณ์ต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม และใช้โครงสร้างตัวถังอลูมิเนียมเพื่อลดน้ำหนัก

มิติตัวถัง:

  • ความยาว: 5,103 มม.
  • ความกว้าง: 2,135 มม. (รุ่นที่ติดตั้งกระจกมองข้างแบบกล้อง) 2,231 (รุ่นที่ติดตั้งกระจกมองข้าง)
  • ความสูง: 1,630 มม.
  • ฐานล้อ: 3,019 มม.

ภายนอก

ด้วยธีมดีไซน์ ‘carved by air’ ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Evija และ Emira ที่เน้นการไหลผ่านของอากาศตั้งแต่ด้านหน้า จรดด้านหลัง รวมไปถึงใต้ท้อง หลังคา ด้วยคุณสมบัติความโปร่งตามจุดต่างๆ ตัวอย่างเช่น ลมจากใต้ท้องรถและสามารถแบ่งกระแสลมให้ลอดผ่านช่องตรงฝากระโปรงหน้าทำให้ลดแรงต้านอากาศ เพิ่มสมรรถนะการขับขี่และระยะทางที่วิ่งได้

ด้านหน้ามีงานออกแบบที่เฉียบคมด้วยเส้นสายแบบรถสปอร์ต ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Emira และ Evija ไฟหน้าแบบ 2 ชิ้น ชิ้นด้านบนที่เพรียวบางประกอบไปด้วยไฟ DRL และ ไฟเลี้ยวแบบ scrolling directional indicators ในขณะที่ไฟหน้าแบบ matrix LED จะถูกซ่อนตัวอยู่ในกระจังหน้า ซึ่งมาในรูปแบบ Active grille รูปทรงสามเหลี่ยมสะดุดตา สามารถเปิด-ปิด เพื่อให้รับกับความเร็วได้ ชิ้นส่วนตัวถังทำจากอลูมิเนียมและคาร์บอนไฟเบอร์

ด้านข้างของตัวรถ มีงานออกแบบที่รับกันช่องดักลมขนาดใหญ่ของซุ้มล้อหน้า ประตูทุกบานติดตั้งมือจับแบบ Flush ที่ซ่อนตัวกลมกลืนไปกับตัวถัง พร้อมช่องชาร์จไฟที่มีฝาปิดแบบไฟฟ้าอยู่ที่ซุ้มล้อคู่หน้า

ที่เสา D ด้านหลังรถมีการออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์ ด้วยช่องลมรูปทรง Air blade เพื่อลดแรงต้านอากาศ กระจกมองข้างสามารถเลือกติดตั้งเป็นแบบไฟฟ้า Electric Reverse Mirror Display (ERMD) ที่ติดตั้งกล้องจำนวน 3 ตัว ทำหน้าที่แตกต่างกัน อาทิ ฉายภาพด้านข้างตัวรถไปยังจอแสดงผลภายในตรงประตูคู่หน้า ฉายภาพมุมสูงเพื่อรองรับระบบกล้องรอบคัน 360 องศา และกล้องความเร็วสูงซึ่งจะทำงานร่วมกับ ระบบความปลอดภัยอื่นๆ

ด้านท้ายมีสปอยเลอร์ทรงแยกชิ้น 2 ข้าง ซ้าย-ขวา ที่หลังคาที่ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ รูปทรงได้รับแรงบันดาลใจจากรถแข่ง โดยเว้นพื้นที่ตรงกลางเพื่อให้ LIDAR sensor ที่ซ่อนอยู่บนหลังคาสามารถเปิดขึ้นมาขณะทำงานโดยอัตโนมัติได้ กันชนท้ายมีชให้ลมไหลเวียนเช่นเดียวกับด้านหน้า

พร้อมไฟท้าย LED แบบเส้นยาวตลอดความกว้างของตัวรถ ที่รวมไฟเบรก ไฟเลี้ยว ไฟถอย เข้าไว้ด้วยกันด้วยหลอดจำนวน 4 สี และยังเพิ่มลูกเล่น Dynamic light ที่สามารถโชว์ความสวยงามขณะปลดล๊อครถได้ รวมไปถึงการบอกสถานะของแบตเตอรี่อีกด้วย พร้อมติดตั้งโลโก้ L O T U S ที่ด้านใต้ไฟท้าย กลางฝากระโปรงหลัง อีกหนึ่งไฮไลท์ก็คือ สปอยเลอร์แบบพับเก็บอัตโนมัติที่ด้านบนของฝากระโปรงท้าย ที่สามารถปรับมุมยกได้ 3 ระดับ ตามโหมดการขับขี่

ภายใน

เบาะนั่งแบบแยกจำนวน 4 ตัวที่สามารถปรับได้ด้วยไฟฟ้าอย่างอิสระ คอนโซลระหว่างเบาะนั่งคู่หน้าพร้อมที่วางแก้วแบบมีฝาปิดเมื่อไม่ใช้งาน ที่ชาร์จโทรศัพท์ไร้สาย ช่องเก็บของที่ประตูคู่หน้าทรงเฉี่ยว ที่ยังสามารถใส่ขวดน้ำขนาด 1 ลิตรได้ เบาะนั่งคู่หลังติดตั้งคอนโซลกลางด้านหลังที่มีจอ Touchscreen ขนาด 9 นิ้วโดยที่ยังมีเบาะนั่งด้านหลังแบบแถวยาวให้เลือกอีกด้วย มีการใช้วัสดุเกรดพรีเมียมแต่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในหลายจุด ไม่ว่าจะเป็นวัสดุผ้าหรือคาร์บอนไฟเบอร์น้ำหนักเบา

Eletre มาพร้อมกับคอนโซลที่ออกแบบให้เหมือนกับสปอยเลอร์หลังคาแบบแยกชิ้น โดยจะไม่มีเรือนไมล์ที่ตั้งสูงเลยพวงมาลัยแบบรถทั่วไป แต่จะใช้หน้าจอที่มีความสูงเพียง 3 เซนติเมตร ซึ่งจะติดตั้งทั้งฝั่งผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้า โดยทั้ง 2 จอจะถูกคั่นกลางด้วยจอกลาง Touchscreen แบบ OLED ขนาดใหญ่ถึง 15.1 นิ้ว ที่สามารถปรับมุมเอียงและพับให้ราบไปกับแนวคอนโซลได้ นอกจากนี้ยังมี Head-up display ที่ติดตั้ง Augmented Reality (AR) สำหรับบอกข้อมูลที่สำคัญกับผู้ขับขี่อีกด้วย

สิ่งที่ Eletre แตกต่างจากรถ EV สมัยใหม่หลายรุ่น ก็คือการติดตั้งปุ่มกดแบบปกติทั่วไป สำหรับการควบคุมฟังก์ชั่นที่สำคัญ เช่น ระบบปรับอากาศ และปุ่มควบคุมต่างๆ บนพวงมาลัย

ระบบเครื่องเสียงจากอังกฤษ แบรนด์ KEF ในรุ่นเริ่มต้นมากับกำลังขับ 1,380 W พร้อมลำโพงจำนวน 15 ชิ้น ติดตั้งเทคโนโลยี Uni-Q ที่แยกเสียงกลางและเสียงเบสผ่านลำโพงชิ้นเดียวกัน รวมไปถึงระบบ Surround sound นอกจากนี้ยังสามารถอัพเกรดเป็นกำลังขับ 2,160 W พร้อมลำโพงจำนวน 23 ชิ้น ที่เพิ่มเทคโนโลยี Uni-Core ซึ่งเป็นการลดขนาดลำโพง Subwoofer โดยที่ยังคงไว้ซึ่งพลังเสียง พร้อมระบบ 3-D surround sound

ระบบ UI/UX ที่ลดขั้นตอนการเข้าถึงฟังก์ชั่นกว่า 95% ของหน้าจอกลางให้น้อยกว่าการสัมผัส 3 ครั้ง พร้อมการอัพเดทแบบ Over The Air (OTA) ที่นอกจากจะอัพเกรดระบบ Infotainment แล้วยังสามารถอัพเกรดระบบความปลอดภัยและระบบช่วยเหลือ Advanced Driver Assistance Systems (ADAS) เพื่อเป็นการเพิ่มศักยภาพของ LIDAR ให้ตรงกับข้อกำหนดในแต่ละประเทศในอนาคต

เครื่องยนต์และระบบส่งกำลัง

มอเตอร์ไฟฟ้าคู่ที่ติดตั้งในตำแหน่งที่มีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ ที่ล้อคู่หน้าและล้อคู่หลัง โดยมอเตอร์ได้ถูกออกแบบให้รวมชุดควบคุมทำให้มีขนาดเล็กและน้ำหนักเบา ให้กำลังสูงสุดกว่า 600 แรงม้า (PS) มาพร้อมกับแบตเตอรี่แบบ Lithium Ion Polymer ความจุมากกว่า 100 kWh ทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายในเวลาต่ำกว่า 3.0 วินาที ความเร็วสูงสุด 260 กม./ชม. พร้อมโหมดการขับขี่ 4 โหมด ที่จะปรับระบบบังคับเลี้ยว ระบบกันสะเทือน และการตอบสนองของคันเร่ง ได้แก่ Range Tour Sport Off-Road และยังมีโหมด Individual ไว้ปรับแยกอย่างอิสระอีกด้วย

สำหรับการชาร์จด้วยไฟ AC กำลังสูงสุด 22 kW และระบบชาร์จเร็ว DC กำลังสูงสุด 350kW ที่สามารถชาร์จเพียง 20 นาที แต่ให้ระยะทางการเดินทางได้สูงถึง 400 กิโลเมตร ในขณะที่มีระยะทางวิ่งสูงสุด 600 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง ตามมาตรฐาน WLTP

ระบบบังคับเลี้ยวและระบบกันสะเทือน

ติดตั้งช่วงล่างถุงลมแบบ Adaptive ที่สามารถปรับความสูง-ต่ำ และความแข็ง-อ่อนของโช้คอัพเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน พร้อมช่วงล่างด้านหลังแบบ Five-link ติดตั้งเหล็กกันโคลงแบบ Active เพื่อรองรับระบบบังคับเลี้ยวที่ล้อคู่หลังและ Torque vectoring

ล้ออัลลอยมีให้เลือกตั้งแต่ 21 นิ้วเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน และสามารถเลือกได้สูงสุดถึง 23 นิ้ว

ระบบห้ามล้อ

ดิสก์เบรกคู่หน้าพร้อมคาลิปเปอร์ 10 ลูกสูบ โดยมีออฟชั่นจานเบรกคาร์บอนเซรามิคให้เลือกอีกด้วย

ระบบความปลอดภัยและระบบช่วยเหลือการขับขี่

เป็นครั้งแรกของโลกที่มีการติดตั้ง LIDAR แบบซ่อนเก็บได้ ถึง 4 ตำแหน่ง ได้แก่ ด้านบนของกระจกบังลมหน้า-หลัง อย่างละ 1 ตัว และซุ้มล้อด้านหน้าซ้าย-ขวา อีกข้างละ 1 ตัว โดยจะยื่นออกทำงานอัตโนมัติตามคำสั่งของระบบ นอกจากนี้ยังติดตั้งระบบสื่อสาร 5G เพื่อรองรับการอัพเดทได้ทันที นอกจากนี้ยังช่วยให้การเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนผ่านแอพพลิเคชั่น ทำได้อย่างสะดวกรวดเร็ว และยังสามารถสั่งซื้อออฟชั่นบางอย่างเพิ่มเติมได้ ผ่านระบบ OTA

  • ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติด้านหน้าและหลัง Collision Mitigation Support Front and Rear
  • ระบบเตือนการเปิดประตูในขณะที่มีสิ่งกีดขวาง Door Open Warning
  • ระบบบังคับควบคุมรถให้อยู่ในเลน Lane Keep Aid with Lane Departure Warning / Prevention
  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน Intelligent Adaptive Cruise Control
  • ระบบนำรถเข้าจอดข้างทางเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน Parking Emergency Brake
  • ระบบเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง Rear Cross Traffic Alert
  • ระบบเตือนการชนด้านหน้า Front Cross Traffic Alert
  • ระบบตรวจจับเด็กรอบตัวรถ Children Presence Detection
  • ระบบเปลี่ยนเลนขณะทำความเร็วบนทางหลวง Lane Change Assist
  • ระบบตรวจสอบป้ายจราจร Traffic Sign Information

Lotus พร้อมให้ลงชื่อแสดงความสนใจได้ตั้งแต่วันนี้ โดยจะพร้อมส่งมอบไปยังประเทศจีนและยุโรปในปี 2023 เป็นต้นไป หลังจากนี้ Lotus เตรียมเปิดตัวรถ EV อีกกว่า 3 รุ่น ได้แก่ Type 133 รถ EV ทรง 4 ประตู Coupe คู่แข่ง Porsche Panamera ในปี 2023 / Type 134 รถ Crossover ขนาดเล็กกว่า 132 ที่จะประกบ Porcshe Macan ในปี 2024  และType 135 รถสปอร์ตที่พัฒนาร่วมกับ Ranault-Alpine ในปี 2026 ในขณะที่ Emira จะเป็น Lotus รุ่นสุดท้ายที่ทำตลาดในขณะนี้ โดยที่ยังใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน

นอกจากนี้ Lotus Cars Thailand ยังเตรียมนำ Lotus Eletre เข้ามารุกตลาด EV ระดับ Hi-end ในประเทศไทยด้วย

ที่มา : Lotus